
“ธนาธร” ร่วมค้านควบรวม “ทรู-ดีแทค” ที่หน้าที่ทำการ กสทช. กำหนดถ้าหากมีการควบรวมจะก่อให้ประชาชนชาแล้วก็ประเทศเสียผลดี ค่าใช้จ่ายสำหรับบริการเพิ่มรวมทั้งการพัฒนาสะดุด
นายธนาธร ก็เลยเจริญธุระ ประธานภาควิชาเจริญรุ่งเรือง โพสต์เนื้อความในเฟซบุ๊กว่าเรา อีกทั้งพรรคก้าวหน้ารวมทั้งภาควิชาเจริญรุ่งเรือง มาเพื่อแสดงจุดยืนไม่เห็นพ้องกับการควบรวมทรู-ดีแทค เคียงคู่ภาคประชากรสังคมที่มาร่วมติดตามการโหวตในวันนี้ “มีงานค้นคว้าจำนวนไม่น้อยจากอีกทั้งหน่วยงานด้านนอกรวมทั้งที่ กสทช.ว่าจ้างเรียนเอง รวมทั้งในกรณีที่เคยเกิดขึ้นในต่างชาติหลายสาเหตุ แสดงให้เห็นว่าการควบรวมที่จะทำให้เหลือผู้เล่นในตลาดโทรคมนาคมเพียงแค่ 2 รายจาก 3 ราย อาจก่อให้ค่าสำหรับบริการแพงขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อลูกค้ารวมทั้งการพัฒนาภาคโทรคมนาคมในประเทศไทย” ยิ่งไปกว่านี้ จากการที่ราษฎรที่รับส่งข้อมูลผ่านคลื่นความถี่โทรคมนาคมมีแต่ว่าจะเพิ่มขึ้นวันแล้ววันเล่า ผลพวงที่จะเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดที่สุด เป็นการเข้าถึงข้อมูลที่น้อยลงจากค่าใช้จ่ายสำหรับบริการที่แพงขึ้น ซึ่งโน่นคือการเข้าถึงช่องทางด้านเศรษฐกิจที่ลดน้อยลงของผู้มีรายได้น้อยด้วย
“การควบรวมที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ หากแม้ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากการที่ บริษัท เทเลนอร์ ลงความเห็นให้บริษัทถอนตัวออกมาจากตลาดในประเทศไทย แต่ว่าก็มิได้แสดงว่าจะมีเพียงแต่การควบรวมเป็นหนทางเดียวแค่นั้น ถ้าเกิดรัฐบาลมีความคิดเห็นว่าธุรกิจโทรคมนาคมเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญในการรบ รัฐบาลสามารถออกไปสนทนาต่อรองเพื่อหาผู้บริโภครายใหม่มาแทนเทเลนอร์หรือสนับสนุนให้มีการสนทนาซื้อหุ้นเทเลนอร์ได้ ซึ่งส่วนตัวแล้วมีความเห็นว่าเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด แล้วก็เกิดเรื่องที่หลายรัฐบาลทั้งโลกต่างก็ทำสำหรับในการแทรกแซงไม่ให้ภาคธุรกิจที่เป็นที่มีความสำคัญในการรบของชาตินั้นๆจะต้องล่มสลาย” เพราะฉะนั้น ความเห็น กสทช. วันนี้ก็เลยมีความจำเป็นสำหรับอนาคตของประเทศ ไม่ใช่แค่ในทางรายการจ่ายของผู้ใช้เพียงแค่นั้น แม้กระนั้นรวมทั้งการพัฒนาองค์ประกอบโทรคมนาคมแล้วก็ข้อมูลเฉพาะบุคคลของคนทั่วประเทศด้วย แม้อนุมัติให้มีการควบรวมก็ควรจะมีวิธีการป้องกันไม่ให้มีการฮั้วราคา บังคับให้มี MVNO (Mobile Virtual Network Operators – ผู้ให้บริการที่ไม่มีเครือข่ายของตน) หรือการคายคลื่นความถี่เล็กน้อยออกมาให้มีการประมูลใหม่ แต่ว่าเพื่อคุ้มครองป้องกันความย่ำแย่แล้วก็การป้องกันคนซื้อ การไม่อนุมัติให้มีการควบรวมจะเป็นเรื่องดีที่สุด
“ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ ว่าหน่วยงานทางธุรกิจมีเป้าหมายสำหรับเพื่อการทำเงินสูงสุด แม้กระนั้นในกรณีมีผู้เล่นในตลาดเพียงแค่สองเจ้า ผลกำไรสูงสุดจะมิได้มาจากการประลอง แต่ว่าจะมาจากการไม่ลด ผมขอเรียกร้อง กสทช. ว่าอย่าเห็นแก่คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากกรุ๊ปทุน ถึงเอกชนจะมีสิทธิความอิสระสำหรับการประกอบธุรกิจก็จริง แม้กระนั้น กสทช. ก็มีบทบาทดูแลไม่คืนอิสรภาพนั้นไปรังแกสามัญชนให้มีต้นทุนการใช้ชีวิตที่สูงขึ้นด้วย” ในวันนี้ นางสาวสารี ชั้นหนึ่งสมหวัง เลขาธิการที่ประชุมหน่วยงานคนซื้อ รวมทั้งโครงข่ายภาคสามัญชนกรุ๊ปต่างๆมาร่วมกันจับตาความเห็น กสทช. ในวันนี้ โดยนายธนาธรกล่าวว่าอยากให้พลังใจนางสาวสารี ซึ่งกำลังถูกฟ้องจากการเอาเอกสารผลการค้นคว้าที่ กสทช. จ้างเอกชนต่างถิ่นให้เรียนผลพวงจากการควบรวม มาเผยต่อสาธารณะ “สิ่งที่ลุกรสารีทำ เป็นเพียงแค่การตรวจทานลักษณะการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและก็ปกป้องรักษาคุณประโยช์จากพลเมืองเพียงแค่นั้น และก็ผลการศึกษาเรียนรู้ที่ใช้เงินจากภาษีสามัญชนก็มิได้เป็นความลับ และก็ต้องมีการเปิดเผยต่อสาธารณะตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะเหตุว่านี่เป็นรากฐานของสังคมระบบประชาธิปไตยที่มีอารยะ”
ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา นายธนาธร เคยค้านการควบรวม โดยเจาะจงเหตุผลว่าถ้าเกิดกสทช.อนุมัติให้มีการควบรวม จะกำเนิดอะไรขึ้น?
- เหลือผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่เจ้ายักษ์เพียงแค่สองราย ผูกขาดตลาดเกือบจะ 100% ไม่มีประเทศที่ปรับปรุงแล้ว อนุญาตให้มีการควบรวมธุรกิจการค้าจาก 3 เจ้าเหลือ 2 เจ้า เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงต่อการประลองและก็ราคา
- จากผลการค้นคว้าของแผนกอนุกรรมการชุดเศรษฐวิทยา ที่กระดาน กสทช. แต่งขึ้น พบว่าราคาค่าใช้จ่ายสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมทั้งอินเทอร์เน็ต บางทีอาจมากขึ้น 12.57 – 39.81% ซึ่งจากค่าใช้สอยโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยปัจจุบันนี้ที่มีค่าเฉลี่ย 211 บาท/เดือน พอๆกับว่ารายจ่ายที่ประชากรจะหามมากขึ้น เป็นเบอร์ละ 26.5 – 84 บาท/เดือน ผู้ให้บริการเรียกเก็บแพงได้ เนื่องจากไม่จำเป็นที่ต้องชิงชัยกันแจกโปรโมชั่นหรือลดเพื่อแย่งลูกค้าอีกต่อไป
- เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะขาดความสามารถการแข่งขันชิงชัยกับโลก ด้วยเหตุว่าผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมไม่ต้องแข่งขันกันเพิ่มความเร็ว-ลด และก็เพิ่มความเสถียรภาพของสัญญาณอินเทอร์เน็ต